❇️เกษตรกรดีเด่น สาขาไร่นาสวนผสม จังหวัดเพชรบูรณ์ ปี 2563

❇️เกษตรกรสาขาไร่นาสวนผสม

  1. ประวัติส่วนตัวและครอบครัว
    1. ชื่อ – สกุล       นายอุทัยวรรณ แก้วม่วง  
    1. ที่อยู่              บ้านเลขที่ 265 บ้านอมกงพัฒนา หมู่ที่ 20 ตำบลท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
    1. วันเดือนปีเกิด    วันที่ 11 เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2504 ปัจจุบันอายุ 58 ปี
    1. การศึกษา        ประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาช่างเชื่อม จากวิทยาลัยเทคนิคเพชรบูรณ์ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
    1. สถานภาพ        สมรสกับ นางฉลาด แก้วม่วง มีบุตร-ธิดา 2 คน คือ

1.5.1. นางสาวเพียงฤทัย  แก้วม่วง        การศึกษาปริญญาตรี                ทำงานบริษัทเอกชน

1.5.2  นายภุชงค์  แก้วม่วง                การศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย    รับราชการทหาร

  1. ตำแหน่งด้านการปกครอง    กำนันตำบลท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์

1.7 ตำแหน่งด้านการเกษตร (พอสังเขป)       

  • ประธานเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม) ตำบลท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์
  • เกษตรกรปราดเปรื่อง “Smart Farmer” ต้นแบบสาขาเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม)
  • คณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอเมืองเพชรบูรณ์จังหวัดเพชรบูรณ์

      คติประจำใจ          คิดก่อนทำ ผู้นำต้องทำก่อน

 

                                                               ภาพที่ 1 รูปครอบครัว

ความคิดริเริ่ม และความพยายามฝ่าฟันอุปสรรคในการสร้างผลงาน

              เริ่มแรกปี พ.ศ. 2530 ทำอาชีพการเกษตรแบบดั้งเดิมตามบรรพบุรุษ ต่อมาเมื่อ ปีพ.ศ. 2534 ได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 บ้านอมกง ตำบลท่าพล ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานด้านการเกษตรที่หลากหลาย จนได้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 20 บ้านอมกงพัฒนา ตำบลท่าพล เมื่อปี 2546 จึงได้น้อมนำแนวทางหลักเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในหมู่บ้านให้เป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง และนำมาปรับใช้ในพื้นที่การเกษตรของตนเอง เนื่องจากปัญหาด้านการเกษตรที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่มีต้นทุนที่สูงขึ้น เกิดการระบาดของโรคศัตรูพืชต่างๆ เกิดภัยธรรมชาติ อีกทั้งมีรายได้ไม่ต่อเนื่อง จึงได้เกิดแนวคิดปรับเปลี่ยนพื้นที่ 25 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มทำนาอย่างเดียว จึงเกิดแนวคิดทำการเกษตรตามหลักเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยเริ่มจากการขุดบ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง ในพื้นที่ 3 งาน และเอาดินมาถมทำเป็นที่อยู่อาศัยเป็นพื้นที่จำนวน 2 งาน เมื่อปี พ.ศ. 2552 ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 องค์การบริหารส่วนตำบลท่าพล มีโครงการพาผู้นำในพื้นที่ไปศึกษาดูงาน ที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดฉะเชิงเทรา และโครงการชั่งหัวมัน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อนำองค์ความรู้กลับมาถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ทำไร่นาสวนผสมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แต่เนื่องจากเกษตรกรไม่สนใจ เพราะนิยมปลูกพืชเชิงเดี่ยวมากกว่า จึงเริ่มต้นทำในพื้นที่ของตัวเองและมีการวางแผนปรับเปลี่ยนจากการทำการเกษตรเชิงเดี่ยวมาเป็นการเกษตรแบบไร่นาสวนผสม เพื่อเป็นตัวอย่างและสร้างแรงบันดาลใจให้กับเกษตรกรในพื้นที่

พ.ศ. 2559 ขุดบ่อเพิ่มอีก 1 บ่อ จำนวน 1 งาน แล้วเอาดินจากการขุดบ่อมาถมที่นา เพื่อจะทำเป็นสวน เนื้อที่ปรับเปลี่ยน 2 ไร่ เพื่อปลูกถั่วดาวอินคา โดยนำผลผลิตมาแปรรูปจำหน่าย แยกเป็น

  • ใบ แปรรูปเป็น ชา
    • เปลือก เอาไปต้มเป็นยา
    • เมล็ด ขายสด และคั่วขายเป็นกิโลกรัม

หลังจากที่ตลาดจำหน่ายถั่วดาวอินคาไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากไม่ค่อยได้รับความนิยม จึงเปลี่ยนจากการปลูกถั่วดาวอินคา มาเป็นไม้ผล ได้แก่ ส้มโอพันธุ์ขาวใหญ่ มะนาว มะกรูด พร้อมนำ หลักการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ได้แก่ ไม้แดง พะยูง ชิงชัน ประดู่ ซึ่งเป็นแนวคิดการผสมผสานการอนุรักษ์ ดิน น้ำ และการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ควบคู่กับความต้องการด้านเศรษฐกิจ ด้วยการจำแนกป่า 3 อย่าง ดังนี้

  1. ป่าไม้กินได้ คือ ไม้ผล เช่น ส้มโอ มะนาว มะกรูด มะม่วง ขนุน ลำไย และผักกินใบต่างๆ
  2. ป่าไม้ใช้สอย คือ ไม้โตเร็ว สำหรับใช้ในครัวเรือน เช่น สะเดา มะฮอกกานี
  3. ป่าไม้เศรษฐกิจ คือ ไม้ที่ปลูกไว้ขาย หรือไม้เศรษฐกิจ เช่น พะยูง ประดู่ ชิงชัน ไม้แดง

ส่วนประโยชน์ 4 อย่าง จำแนกแต่ละอย่างออกเป็น

  1. ป่าไม้กินได้ นำมาเป็นอาหาร ทั้งพืชกินใบ กินผล กินหัว และเป็นยาสมุนไพร
  2. ป่าไม้ใช้สอย นำมาสร้างบ้าน ทำเล้าไก่ ด้ามจอบเสียม ทำหัตถกรรม หรือกระทั่งใช้เป็นเชื้อเพลิง (ฟืน) ในการหุงต้มอาหาร
  3. ป่าไม้เศรษฐกิจ เป็นแหล่งรายได้ของครัวเรือน เป็นพืชที่สามารถนำมาจำหน่ายได้ ซึ่งจะปลูกพืชหลากหลายชนิดเพื่อลดความเสี่ยงเรื่องราคาตกต่ำและไม่แน่นอน
  4. ประโยชน์ในการช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำ การปลูกพืชที่หลากหลายอย่างเป็นระบบ จะช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศน์ในสวน ช่วยปกป้องผิวดินให้ชุ่มชื้น ดูดซับน้ำฝน และค่อยๆปลดปล่อยความชื้นสู่สวนเกษตรกรรม

พ.ศ. 2560 ทำการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพิ่มเติมคือขุดที่ดิน ทำเป็นร่องสวน แล้วนำดินที่ได้จากการขุด ขึ้นเป็นแปลง  12 แปลง พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ 2 งาน โดยแต่ละแปลงปลูกพืช แบ่งเป็น

  • มะพร้าว 14 ต้น/แปลง
    • มะม่วงและลำไย ชนิดละ 7 ต้น/แปลง
    • กล้วย 7 ต้น/แปลง
    • ข่า 14 กอ/แปลง
    • มะกรูด 24 ต้น/แปลง
    • ไม้ประดู่และไม้ชิงชัน อย่างละ 14 ต้น/แปลง
    • ตะไคร้ รอบคันแปลง

ผลจากการปรับเปลี่ยนพื้นที่เป็นไร่นาสวนผสม ทำให้มีน้ำใช้ทำการเกษตรในช่วงฤดูแล้งสามารถทำให้พืชผักที่ปลูกไว้ให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง สร้างให้มีรายได้ตลอดทั้งปี

พ.ศ. 2561 ได้เพิ่มกิจกรรมเลี้ยงปลาในร่องสวนที่ขุดไว้ มีพันธุ์ปลานิล ปลาตะเพียน และมีการเลี้ยงไก่พันธุ์พื้นบ้านขังในโรงเรียนปิดเพื่อกินเศษพืชผัก ผลไม้ที่เหลือใช้จากภายในสวน  โดยมีการจัดการใช้ที่ดิน เงินทุน แรงงาน และการบริหารจัดการที่ดี ใช้ปัจจัยการผลิตให้คุ้มค่า เพื่อลดต้นทุนการผลิตที่ให้ผลตอบแทนสูง เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงและสร้างรายได้สู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่มั่นคงต่ออาชีพและครอบครัว

  • ผลงานและความสำเร็จของผลงานทั้งปริมาณและคุณภาพ ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานและความยั่งยืน

           พื้นที่ทำการเกษตรผสมผสานตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ 47112 ทั้งหมด 25 ไร่ 62 ตารางวา มีการบริหารจัดการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้

ส่วนที่ 1  พื้นที่พักอาศัย จำนวน 2 งาน 

  • ใช้สำหรับเป็นที่พักอาศัย เก็บวัสดุอุปกรณ์ทางการเกษตร
  • ใช้สำหรับผลิตน้ำหมักชีวภาพต่างๆ เพื่อใช้ในการเกษตร และผสมอาหารเลี้ยงปลาจากวัสดุเหลือใช้ต่างๆที่มีในพื้นที่ เพื่อลดต้นทุนในการผลิต
  • ปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อบริโภคในครัวเรือน ลดค่าใช้จ่าย
  • ที่ตั้งเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม) เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรของชุมชนสำหรับแก้ไขจากปัญหาของชุมชนและสามารถตอบสนองความต้องการด้านการเกษตรของชุมชนได้ และเป็นเครื่องมือในการส่งเสริมการเกษตรโดยเน้นการเรียนรู้จากเกษตรกรต้นแบบที่ประสบความสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ในประเด็นการเพิ่มผลผลิต การลดต้นทุนการผลิต การพัฒนาคุณภาพและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิต ตลอดจนยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งยังใช้เป็นจุดนัดพบในการพบปะพูดคุยของเจ้าหน้าที่กับเกษตรกร และเกษตรกรกับเกษตรกรด้วยกันเอง
  • โรงเรือนสำหรับเลี้ยงไก่พื้นบ้านจำนวน 100 ตัว เพื่อบริโภคลดค่าใช้จ่าย และจำหน่ายสร้างรายได้

มีระบบถังกักเก็บน้ำขนาด 2,000 ลิตร เพื่อสำรองน้ำไว้ใช้ในครัวเรือนและใช้สำหรับให้น้ำกับพืชที่ปลูกไว้ทั้งระบบภายในสวนผสมผสาน  โดยการให้น้ำและปุ๋ยกับพืชใช้ระบบปั้มแบบเวนจูรี่ (Venturi injectors) หลักการทำงานของปั้มแบบนี้คือ การเพิ่มอัตราการไหลของน้ำในท่อให้เพิ่มมากขึ้นโดยการทำท่อให้คอดลงเพื่อให้สามารถสร้างแรงดูดในท่อเวนจูรี่ เพื่อดูดของเหลวเข้าท่อนั้น ส่วนประกอบของปั้มเป็นแบบง่าย ๆ คือไม่มีชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่ สารละลายปุ๋ยเคมีที่ใช้จะบรรจุอยู่ในถังพลาสติกที่เปิดฝาไว้ อัตราส่วนความเจือจางของสารละลายปุ๋ยมีค่าคงที่ สามารถจะเลือกแบบและขนาดของปั้มได้ตามต้องการ ทั้งราคายังถูกกว่าแบบอื่นๆ ลักษณะการติดตั้งปั้มแบบเวนจูรี่อาจจะติดตั้งได้ 3 แบบ คือ การติดตั้งบนท่อประทานของระบบให้น้ำพืชโดยตรง การติดตั้งคร่อมโช๊ควาล์ว และการติดตั้งโดยมีปั้มช่วยฉีดน้ำจากท่อประทานผ่านปั้มเวนจูรี่

                                     ภาพที่ 2 การให้น้ำและปุ๋ยกับพืชระบบปั้มแบบเวนจูรี่ (Venturi injectors)

ส่วนที่ 2  บ่อกักเก็บน้ำไว้ใช้และเลี้ยงปลา จำนวน 2 บ่อ พื้นที่รวม 1 ไร่ แบ่งได้ ดังนี้

  • บ่อที่ 1 พื้นที่สระขนาด 3 งาน ซึ่งเป็นการเลี้ยงปลาในกระชัง ได้แก่ ปลานิลและปลาทับทิมเพื่อบริโภคและจำหน่าย ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้

วัสดุอุปกรณ์ในการทำกระชังเลี้ยงปลา

  1. ถังพลาสติกขนาด 120 ลิตร            จำนวน 15 ถัง
  2. ไม้ไผ่ซาง                                 จำนวน 20 ลำ
  3. ตาข่ายเลี้ยงปลา ขนาด 5 x 8 เมตร   จำนวน 4 ผืน
  4. เชือกไนลอน                             จำนวน 20 กิโลกรัม

ต้นทุนต่อกระชังขนาด 5 x 8 เมตร เป็นเงิน 1,125 บาท

อายุการใช้งาน 3 ปี เลี้ยง 1 รุ่นต่อปี

วิธีการเลี้ยง

  • ปล่อยปลาจำนวน 300 ตัวต่อกระชัง จำนวน 4 กระชัง รวมเป็น 1,200 ตัว
  • ค่าพันธุ์ปลานิล (2 กระชัง) ตัวละ 2 x 600 เป็นเงิน 1,200 บาท
  • ค่าพันธุ์ปลาทับทิม (2 กระชัง) ตัวละ 3 x 600 เป็นเงิน 1,800 บาท
  • ค่าอาหารเลี้ยงปลาต่อกระชัง ๆ ละ 6,000 บาท เป็นเงิน 24,000 บาท

ผลผลิต

  • ปลานิลต่อกระชัง 200 กิโลกรัม ๆ ละ 60 บาท เป็นเงิน 12,000 บาท
  • ปลาทับทิมต่อกระชัง 200 กิโลกรัม ๆ ละ 80 บาท เป็นเงิน 16,000 บาท

กำไรต่อกระชัง   

  • ปลานิล เป็นเงิน 4,275 บาท
  • ปลาทับทิม เป็นเงิน 7,975 บาท                           
  • รวมกำไรจากการเลี้ยงปลาต่อปี เป็นเงิน 24,500 บาท

ให้อาหารโดยการผสมจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และจากเศษพืชผักเหลือใช้ในพื้นที่

  • สูตรผสมอาหารเลี้ยงปลา
รำอ่อน 10 กิโลกรัมรำแก่ 20 กิโลกรัมข้าวเปลือกบด 10 กิโลกรัมข้าวโพดบด 10 กิโลกรัมปลาป่นหรือหัวอาหารปลาชนิดเข้ม 5 กิโลกรัมน้ำหมักชีวภาพ 5 ลิตรกากน้ำตาล 1 กิโลกรัมน้ำเปล่า 15 ลิตรพืชต่าง, ปอเทือง, หญ้าเนเปียร์, หญ้าหวาน (ที่บดหรือสับแล้ว) 10 กิโลกัมอ่างผสมปูน ขนาด 175 ลิตร 1 ใบ  
วิธีทำ นำรำอ่อน รำแก่ ข้าวเปลือกบด ข้าวโพดบด ปลาป่นหรือหัวอาหารปลา และปอเทืองหรือวัสดุอื่นๆที่บดหรือสับแล้ว มาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากันในอ่างผสมปูน จากนั้นเติมกากน้ำตาลที่ผสมกับน้ำเปล่าและน้ำหมักชีวภาพไว้แล้ว มาผสมให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปเข้าเครื่องบดอัดเป็นก้อนอาหารปลา หรือปั้นเป็นก้อนลูกกลมๆ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง แล้วเก็บใส่ภาชนะที่เตรียมไว้เป็นอาหารให้ปลาต่อไป                  
                                ภาพที่ 3 อาหารปลาที่ผสมแล้วปั้นเป็นก้อน  

บ่อที่ 2 พื้นที่สระขนาด 1 งาน เป็นการเลี้ยงปลาจากธรรมชาติโดยใช้ฟางหมัก เพื่อบริโภคและจำหน่าย ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้

วิธีการเลี้ยง ทำอาหารให้ปลาจากฟางหมักเป็นจุดให้อาหารปลาภายในบ่อ การทำฟางหมักเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยลดปริมาณอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาได้ ใช้ได้ทั้งสำหรับเตรียมบ่ออนุบาลและเลี้ยงปลา เนื่องจากช่วยให้เกิดอาหารธรรมชาติหลายชนิดที่เป็นอาหารปลา ได้แก่ โรติเฟอร์ ไรแดง หนอนแดง และแบคทีเรีย นอกจากนี้ปลาสามารถกินฟางหมักได

การทำอาหารปลาด้วยฟางข้าว
วัสดุอุปกรณ์ ฟางข้าว          1 ก้อนรำอ่อน           1 กิโลกรัมมูลสัตว์ (ขี้วัว)   1 กิโลกรัมน้ำหมักชีวภาพ 1 ลิตรน้ำเปล่า          10 ลิตรวิธีทำ นำรำอ่อนและมูลสัตว์มาผสมให้เข้ากันเอาข้อ 1 นำมาใส่ด้านข้างก้อนฟางเป็นเป็นจุดๆ ประมาณ 10 – 12 จุดนำน้ำหมักชีวภาพผสมกับน้ำเปล่ามารดให้ทั่วก้อนฟางแล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม 2 – 3 วันนำก้อนฟางลงบ่อตามจุดที่ต้องการ เพื่อให้เป็นอาหารปลาต่อไป

วิธีการล่อปลาธรรมชาติ  โดยใช้เศษผัก และวัสดุที่เหลือใช้ทางการเกษตรไปทำเป็นกองสุ่มเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของปลา

ผลผลิตที่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ปลา และปริมาณปลาจากธรรมชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในบ่อของแต่ละปีตามความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ

กำไรจากการเลี้ยงปลาในบ่อธรรมชาตินี้อยู่ที่การจับมาเพื่อบริโภคและจำหน่าย เป็นการลดรายจ่ายให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่ง

ส่วนที่ 3  ปลูกข้าว และพืชหลังนา จำนวน 16 ไร่

  • พื้นที่ปลูกข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 โดยวิธีหว่านแห้ง โดยใช้น้ำหมักชีวภาพและฮอร์โมนต่างๆที่ทำไว้ใช้เอง ดังนี้
  • ช่วงข้าวยืนต้นอายุ 30 – 40 วัน ใช้จุลินทรีย์หน่อกล้วย ปริมาณ 20 ลิตรต่อไร่ เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของราก ลำต้น และใบข้าว
  • ช่วงข้าวกำลังออกรวงใช้ฮอร์โมนผลไม้สุก ปริมาณ 20 ลิตรต่อไร่ เพื่อเร่งการออกร่วงและติดเมล็ด อีกทั้งใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ปริมาณ 3 ลิตรต่อไร่เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของข้าว
  • ช่วงข้าวออกรวงและติดเมล็ดใช้น้ำหมักรกหมูหรือปลา ปริมาณ 20 ลิตรต่อไร่ เพื่อช่วยให้เมล็ดข้าวเต็มร่วงและมีน้ำหนักเพิ่มผลผลิต

    โดยใช้วิธีปล่อยตามทางน้ำไหลแบบธรรมชาติเข้าไปตามร่องนาที่ได้ทำไว้ เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการแจ้งแรงงานฉีดพ่น พร้อมทั้งช่วยลดต้นทุนการใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่มีราคาแพง และมีสารพิษตกค้าง ทำให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้งเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้น ผลผลิตน้ำหนักสดเฉลี่ย 800 – 850 กิโลกรัมต่อไร่  ผลผลิตที่ได้นำไปจำหน่ายสร้างรายได้ และเก็บบางส่วนไว้เพื่อบริโภคในครัวเรือนช่วยลดรายจ่าย

หลังฤดูทำนาปลูกปอเทือง จำนวน 13 ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัว ส่วนใบและต้นบางส่วนเอามาตากแห้งเป็นส่วนผสมของอาหารเลี้ยงปลาช่วยลดต้นทุนค่าอาหารปลา ส่วนต้นตอที่เหลือไถกลบเพิ่มอินทรียวัตถุ และปรับโครงสร้างดิน

  • ปลูกหอมแดงและกระเทียม จำนวน 1 ไร่ ไว้บริโภคในครัวเรือนเพื่อลดรายจ่ายในครอบครัว

  ภาพที่ 4 น้ำหมักชีวภาพและฮอร์โมนที่ใช้ในนาข้าว

ตารางที่ 1 เปรียบเทียบต้นทุน-กำไร การผลิตข้าวและปอเทือง 3 ปี ย้อนหลัง

  กิจกรรมต้นทุน/ปีการผลิต
ปี 2560ปี 2561ปี 2562
รายรับรายจ่ายรายรับรายจ่ายรายรับรายจ่าย
ข้าวขาวดอกมะลิ 105ขายข้าวเปลือก 16 ไร่    820กก./ไร่ กก.ละ 9 บาท 118,080   820กก./ไร่ กก.ละ 9.50 บาท 124,640   800กก./ไร่ กก.ละ 10.5 บาท 134,400 
ค่าไถดะ ไร่ละ 300 บาท4,8004,8004,800
ค่าไถหวานกลบ ไร่ละ 500 บาท8,0008,0008,000
ค่าพันธุ์ข้าว 15 กก./ไร่ กก. ละ 25 บาท6,0006,0006,000
ค่าปุ๋ย สูตร 16-20-0 จำนวน 5 กระสอบ3,5003,500
ค่ายาปราบศัตรูพืชและจ้างฉีด6,0006,0006,000
ค่าจ้างหว่านข้าว ไร่ละ 80 บาท1,2801,2801,280
ค่าเก็บเกี่ยว ไร่ละ 600 บาท9,6009,6009,600
ค่าขนส่งตันละ 200 บาท2,6242,6243,200
รวมรายรับ118,080124,640134,440
รวมรายจ่าย41,80441,80436,840
กำไรสุทธิ76,276 82,836 97,560 
กำไรต่อไร่4,767.255,177.256,097.50
       
ปอเทือง      
ขายปอเทือง 13 ไร่1,200 กก. X 15 บาท 18,0001,200 กก. X 19 บาท 22,8001,200 กก. X 30 บาท 36,000
ค่าเมล็ดพันธุ์
ค่าไถหว่านกลบไร่ละ 500 บาท6,5006,5006,500
ค่ายาปราบศัตรูพืชและจ้างฉีด4,5004,5004,500
รวมรายรับ18,00022,80036,000
รวมรายจ่าย11,00011,00011,000
กำไรสุทธิ7,000 11,800 25,000 
กำไรต่อไร่538.46907.691,923.08

ส่วนที่ 4 เกษตรผสมผสาน จำนวน 5 ไร่ 2 งาน แบ่งเป็น 2 ส่วน ปลูกพืชผัก ไม้ผล เพื่อผลิตเป็นเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์จำหน่ายสร้างรายได้ในปัจจุบันและอนาคต ส่วนไม้ยืนต้น (ไม้ใช้สอย) ได้แก่ ประดู่ แดง พยุง ชิงชัน ตามแนวคิดการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง สร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติ ทำให้การปลูกพืชมีประสิทธิผล ช่วยลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต ดังนี้

  1. แปลงไม้ผลและไม้ยืนต้น จำนวน 2 ไร่
  2. มะนาว จำนวน 108 ต้น ให้ผลผลิตแล้ว
  3. มะกรูด จำนวน 400 ต้น ยังไม่เก็บเกี่ยวผลผลิต
  4. ส้มโอ จำนวน 92 ต้น ยังไม่ให้ผลผลิต
  5. ไม้ยืนต้น จำนวน 130 ต้น อีก 10 ปี ให้ผลผลิต มูลค่าเฉลี่ยต้นละ 3,000 บาท
  6. พริกไทย จำนวน 80 ต้น ปลูกปี 2562 ยังไม่ให้ผลผลิต
  7. ผักหวาน จำนวน 80 ต้น ปลูกปี 2562 ยังไม่ให้ผลผลิต
  8. โดยได้นำวิธีการเสริมรากในไม้ผล คือส้มโอ มาปรับใช้ในสวน

ประโยชน์ของการเสริมราก

  1. ต้นไม้ที่เสริมรากไม่กลายพันธุ์ ให้ผลดกและใหญ่ รสชาติเหมือนเดิม
  2. มีรากแก้วที่แข็งแรงเจริญเติบโตได้เร็ว ป้องกันลม มีความแข็งแรง
  3. เป็นการทำสาวต้นไม้ทางราก

หมายเหตุ : ในการเสริมรากต้นไม้ต้องใช้ไม้ตระกูลเดียวกันเท่านั้นในการเสริมราก แต่ถ้าเป็นมะม่วงแนะนำให้เอาเมล็ดมะม่วงกะล่อนจะดี เพราะทนต่อสภาพดิน ฟ้า อากาศ ได้ดี

ขั้นตอน/วิธีทำ

นำกิ่งตอนมาปลูกประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี หลังจากนั้นนำเมล็ดไม้ผลที่แข็งแรง     ที่ต้องการ นำมาเพาะกล้าให้งอกประมาณ 4−5 ฟุต หรือนำเอาเมล็ดมาปลูกข้างต้นไม้ที่เราจะเสริมรากห่างกันประมาณ 50−60 เซนติเมตร หลังจากนั้นนำยอดไม้มาทาบกับต้นไม้ที่จะเสริมราก แล้วตัดยอดไม้เป็นรูปปากฉลาม ส่วนต้นไม้ที่จะนำไปทาบให้ตัดเป็นรูปตัวยู นำกล้าเพาะไม้ที่ตัดเป็นรูปปากฉลามนำมาเสียบเข้าด้วยกัน แล้วนำเทปใสมาพันจากข้างบนลงมาข้างล่าง พันให้แน่นไม่ให้น้ำไหลเข้าไปได้ ป้องกันไม่ให้ลำต้นและยอดเน่าปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15−20 วัน ถ้าต้นที่เพาะกล้าด้วยเมล็ดแตกยอดให้ตัดทิ้ง เพราะจะทำให้ต้นไม้ที่ทำการเสริมรากไม่เจริญงอกงามหรืออาจตายได้

                          ภาพที่ 5 การเสริมรากส้มโอ

  • สวนผสมผสานและขุดร่องน้ำเลี้ยงปลา จำนวน 3 ไร่ 2 งาน โดยทำเป็นรูปแปลงยกร่อง จำนวน 12 แปลง ขนาดแปลงกว้าง 5 เมตร ยาว 40 เมตร ขนาดร่องน้ำกว้าง 3 เมตร ยาว 43 เมตร ลึก 1.50 เมตร ปลูกพืชผักผสมไม้ผล ไม้ยืนต้น และเลี้ยงปลาในร่องสวน ดังนี้
  • ข่า จำนวน 250 กอ ให้ผลลิตแล้ว
  • ตะไคร้ปลูกรอบคันแปลง จำนวน 1,000 กอ ให้ผลผลิตแล้ว
  • กล้วยน้ำหว้า จำนวน 42 กอ ให้ผลผลิตแล้ว
  • กล้วยหิน จำนวน 49 กอ ให้ผลผลิตแล้ว
  • มะพร้าว จำนวน 250 ต้น ยังไม่ให้ผลผลิต อีก 2 ปีให้ผลผลิต
  • ไม้ผลอื่น ๆ (ส้มโอ มะม่วง ขนุน ลำไย) จำนวน 92 ต้น ยังไม่ให้ผลผลิต
  • ไม้ยืนต้น จำนวน 250 ต้น อีก 10 ปี ให้ผลผลิต มูลค่าเฉลี่ยต้นละ 3,000 บาท
  • เลี้ยงปลานิล จำนวน 11,000 ตัว และปลาตะเพียน จำนวน 22,000 ตัว เพื่อบริโภคและจำหน่าย ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน
การทำสาวข่า
วัสดุอุปกรณ์ มีดหรือกรรไกรฟางข้าวหรือเศษหญ้ามูลสัตว์หรือน้ำหมักชีวภาพน้ำวิธีทำ ตัดต้นข่าที่แก่แล้วออกให้เหลือไว้ประมาณกอละ 5 – 10 ต้นเอาฟางข้าวหรือเศษหญ้าคลุมใส่มูลสัตว์หรือน้ำหมักชีวภาพให้น้ำสม่ำเสมอ

ตารางที่ 2 สรุปต้นทุน-กำไร กิจกรรมแปลงเกษตรผสมผสาน ย้อนหลัง 3 ปี

  กิจกรรมต้นทุน/ปีการผลิต
ปี 2560ปี 2561ปี 2562
รายรับรายจ่ายรายรับรายจ่ายรายรับรายจ่าย
กล้วยน้ำหว้าขายกล้วย 650 หวี*10 บาทขายปลีกล้วยค่าไฟฟ้าและอื่นๆ  –   – –  –   – –  –   – –  –   – –  6,500   210 –  –   – 1,000
รวมรายรับ6,710
รวมรายจ่าย1,000
กำไรสุทธิ5,710 
กล้วยหินขายกล้วย 189 หวี*30 บาทค่าไฟฟ้าและอื่นๆ  –   –  –   –  –   –  –   –  5,670   –  –   1,000
รวมรายรับ5,670
รวมรายจ่าย1,000
กำไรสุทธิ4,670 
มะนาวขายมะนาวลูกละ 1 บาทค่าไฟฟ้าและอื่นๆ  –    –    2,000    – 1,000  7,630  – 2,000
รวมรายรับ2,0005,670
รวมรายจ่าย1,0002,000
กำไรสุทธิ1,0005,630 
ข่าขายข่าละ 1 บาทค่าไฟฟ้าและอื่นๆ  –    –    25,600    – 5,000  5,310  – 1,200
รวมรายรับ25,6005,310
รวมรายจ่าย5,0001,200
กำไรสุทธิ20,6004,110 
ตะไคร้ขายตะไคร้ กก. ละ 15 บาทค่าไฟฟ้าและอื่นๆ  –    –    25,500    – 12,000  8,250  – 1,000
รวมรายรับ25,5008,250
รวมรายจ่าย12,0001,000
กำไรสุทธิ13,5007,250 
12  

ส่วนที่ 5  ไม้ยืนต้น (ไม้ใช้สอย) จำนวนประมาณ 2 ไร่ ได้แก่ ประดู่ แดง พยุง ชิงชัน สะเดา บริเวณรอบคันนา และคันบ่อน้ำ ตามแนวทางธนาคารต้นไม้ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อสร้างความสมดุลให้กับระบบนิเวศน์ จำนวนประมาณ 1,000 ต้น อีก 5 ปี ให้ผลผลิต มูลค่าเฉลี่ยต้นละ 3,000 บาท

คำอธิบาย: C:\Users\surasak\Desktop\ประกวดเกษตรกรดีเด่น62\ข้อมูลต่างๆ\รูปภาพ\88726.jpg,คำอธิบาย: D:\เกษตรอำเภอเมืองเพชรบูรณ์\ประกวดเกษตรกรดีเด่น62\ข้อมูลต่างๆ\รูปเพิ่มเติม\535329.jpg

ภาพที่ 6 ปลูกไม้ยืนต้นตามแนวทางธนาคารต้นไม้

ภาพที่ 7 แผนผังแปลงไร่นาสวนผสม  


               ตารางที่ 3 ปฏิทินการดำเนินกิจกรรมภายในแปลงไร่นาสวนผสม

มีการปฏิบัติดูแลทั้งการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ประมง และการผลิตปัจจัยต่างๆ ดังนี้

กิจกรรมเดือน
.ค..พ.มี.ค.เม.ย..ค.มิ.ย..ค..ค..ย..ค..ย..ค.
นาข้าวปุ๋ยพืชสดปลูกข้าว (นาหว่าน)ดูแลรักษาเก็บเกี่ยว         
ไม้ผล (กล้วย, มะนาว, มะกรูด,  มะพร้าว ส้มโอ, มะม่วง, ขนุน, ลำไย ฯลฯใส่ปุ๋ยบำรุงต้นตัดแต่งกิ่งใส่ปุ๋ยบำรุงดอก/ผลเก็บเกี่ยว          
พืชผัก/พืชแซมในสวนเก็บเกี่ยว           
ไก่พื้นบ้าน           
การเลี้ยงปลาในกระชังปล่อยลูกปลาผสมอาหารปลาจับจำหน่าย           
การเลี้ยงปลาในบ่อดินปล่อยลูกปลาเลี้ยงโดยธรรมชาติ/ผสมอาหารปลาจับจำหน่าย         
ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ           
ไม้ยืนต้น (ธนาคารต้นไม้)ตัดแต่งกิ่ง           
  • แรงงานในครัวเรือน 3 คน และจ้างแรงงานช่วยเป็นครั้งคราว 2 – 3 คน
  • จ้างแรงงานช่วยสลับกันไปมา วันละ 300 บาท เดือนละประมาณ 15 วัน เป็นเงิน 4,500 บาทต่อเดือน

ตลาดจำหน่ายผลผลิตภายในชุมชน และมีพ่อค้าคนกลางมารับซื้อในพื้นที่ ทำให้มีรายได้ให้กับครอบครัว ดังนี้

  • รายได้รายวัน/รายสัปดาห์  จากการขายพืชผักข่า ตะไคร้ ที่ตัดขายได้เกือบทุกวัน และทุกสัปดาห์
  • รายได้รายเดือน จากการขายกล้วยน้ำว้า กล้วยหิน หัวปลี มะนาว และไก่พื้นบ้าน ที่เก็บจำหน่ายได้ทุกเดือน
  • รายได้รายปี จากการขายข้าว ปอเทือง และปลา

                         ภาพที่ 8 ผลผลิตที่จำหน่ายสร้างรายได้

  • การจดบันทึกและบัญชี

ในการดำเนินกิจกรรมการเกษตรด้านไร่นาสวนผสม กิจกรรมต่างๆสามารถเกื้อกูลกันได้ ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการทำการเกษตรลดลง ยกเว้นค่าใช้จ่ายที่จำเป็น ได้แก่ ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าไฟฟ้า เป็นต้น มีการจดบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยความรู้ด้านบัญชีรายรับรายจ่ายได้จากการอบรมจากหน่วยงานต่างๆ เช่น ธกส. สำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์  กศน. สำนักงานเกษตรอำเภอ  การใช้ประโยชน์จากการจัดทำบัญชีทำให้มีความรู้สามารถแยกรายรับ-รายจ่ายได้  ทำให้รู้ต้นทุนการผลิต แนวโน้มราคาผลผลิต และนำมาประมาณการวางแผนในการปลูกพืชชนิดต่างๆในปีถัดไป และการทำบัญชีครอบครัวทำให้ทราบถึงฐานะของครอบครัวสามารถตัดสิ่งที่ฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นออกไปได้

    ภาพที่ 9 สมุดบันทึกบัญชีครัวเรือน

ตารางที่ 4 สรุปการผลิตและผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี (2560 – 2563)

  รายการ  จำนวนผลผลิต/รายได้/รายจ่าย
ปี 2560ปี 2561ปี 2562
ผลผลิตรายได้รายจ่ายผลผลิตรายได้รายจ่ายผลผลิตรายได้รายจ่าย
นาข้าว16 ไร่ 13.12 ตัน118,08041,80413.12 ตัน124,64041,80412.80 ตัน134,40036,840
ปอเทือง13 ไร่1,200 กก.18,00011,0001200 กก.22,80011,0001200 กก.36,00011,000
กล้วยน้ำหว้า     42 กอ650 หวี6,7101,000
กล้วยหิน49 กอ-.189 หวี5,6701,000
มะนาว108 ต้น2,000ลูก2,0001,0007,630 ลูก7,6302,000
มะกรูด600 ต้น
ส้มโอ92 ต้น
มะพร้าว250 ต้น
ไม้ผลอื่นๆ92 ต้น
ข่า250 กอ25,600 หน่อ25,6005,0005,310 หน่อ5,3101,200
ตะไคร้1,000 กอ1,700 กก25,00012,000550 กก8,2501,000
พริกไทย80 ต้น-.
ผักหวาน80 ต้น-.
ปลาในกระชัง4 กระชัง-.800 กก56,00031,500
ปลาในบ่อดิน2 บ่อ300 กก.18,00017,500800 กก.48,00015,0002,000 กก12,0008,000
ปลาในร่องสวน12 ร่อง50 กก     3,000 1,000
ไก่พื้นบ้าน200 ตัว-.8,500280 กก16,8008,500106.2 กก.8,5005,800
ปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ1,200 ลิตร1,200  ลิตร4,1001,200 ลิตร4,1001,200 ลิตร4,100
ไม้ยืนต้น1,380 ต้น
รวม154,08082,904323,840207,404224,47071,940
คงเหลือ (รายได้-รายจ่าย)71,176116,436152,530

 

  • ความเป็นผู้นำ และการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในด้านต่างๆ

จากการที่ได้อาสาเข้ามาทำงานเพื่อส่วนรวมรับใช้พี่น้องประชาชนทั่วไป และเกษตรกร ในตำแหน่งเริ่มแรกผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จนได้รับเลือกให้เป็นผู้ใหญ่บ้าน และปัจจุบันดำรงตำแหน่งกำนันตำบลท่าพลนั้น ทำให้ต้องเสียสละเวลาส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนร่วมต่าง ๆ และพัฒนาตนเองหาความรู้หรือวิทยาการสมัยใหม่เข้ามาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการทำการเกษตร ตามคติประจำใจที่ว่า “คิดก่อนทำ ผู้นำต้องทำก่อน” จนสามารถปรับเปลี่ยนจากการทำเกษตรแบบเดิมที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว มาเป็นการทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่ประสบผลสำเร็จสามารถสร้างรายได้ ลดร่ายจ่าย และเป็นศูนย์เรียนรู้ที่ถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตรให้กับชุมชน และประชาชนที่สนใจทั่วไป

  • บทบาทความเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ 

      ได้เป็นผู้นำ ผู้แทน คณะกรรมการ ของหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้

  1. กำนันตำบลท่าพล อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์  ทำหน้าที่ตรวจตรารักษาความปกติเรียบร้อยในตำบล ให้ประชาชนในตำบลประพฤติตามตามหลักกฎหมายข้อบังคับของสังคม ทั้งการที่จะป้องกันภยันตรายและรักษาความสงบสุขของประชาชนในตำบล หรือรับฟังปัญหาหรือข้อร้องเรียนต่างๆในตำบล เพื่อประสานและหาแนวทางแก้ไขให้กับประชาชนในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ในตำบลต่อไป
  2. เป็นประธานเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร  ศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม) ตำบลท่าพลเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรของชุมชน สำหรับแก้ไขปัญหาของชุมชนและสามารถตอบสนองความต้องการด้านการเกษตรของชุมชนได้โดยมีฐานเรียนรู้ 4 ฐาน ได้แก่ ฐานที่ 1 เศรษฐกิจพอเพียง ไร่นาสวนผสม ฐานที่ 2 การเลี้ยงปลาในกระชังและร่องสวน ฐานที่ 3 การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต และฐานที่ 4 การบริหารจัดการน้ำ (ภาคผนวกที่ 7)
  3. เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง “Smart Farmer” ต้นแบบสาขาเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม) เป็นเกษตรกรที่มีความรอบรู้ในระบบการผลิต ด้านการเกษตรไร่นาสวนผสม มีความสามารถในการวิเคราะห์ เชื่อมโยงและบริหารจัดการการผลิตและการตลาด โดยใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ คำนึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค สังคมและสิ่งแวดล้อม
  4. คณะกรรมการศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ เพื่อดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำแนวทางการพัฒนาและแผนการดำเนินงาน ขับเคลื่อนการดำเนินงาน พร้อมให้บริการข้อมูล ข่าวสาร ด้านการเกษตรต่างๆในพื้นที่
  5. คณะกรรมการศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลท่าพล ร่วมประชุม จัดทำแผนพัฒนาการเกษตร และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการเกษตรประจำตำบล
  6. ประธานคณะกรรมการพัฒนาด้านการเกษตรระดับชุมชนตำบลท่าพล 1 ร่วมประชุม พิจารณา กลั่นกรองการดำเนินงานโครงการให้สำเร็จลุล่วง ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์
  7. คณะกรรมการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน ระดับชุมชนตำบลท่าพล 1 ร่วมประชุม พิจารณา กลั่นกรองการดำเนินงานโครงการให้สำเร็จลุล่วง ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์
  8. รองประธานคณะกรรมการธนาคารต้นไม้ระดับภาคเหนือตอนล่าง 9 จังหวัด ของ ธกส. ร่วมส่งเสริมการปลูกป่าไม้ยืนต้นในพื้นที่ของตนเอง และพื้นที่สาธารณะและรณรงค์การปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่ป่าในชุมชน
  9. ประธานคณะกรรมการต้นไม้ระดับจังหวัดเพชรบูรณ์

ประธานคณะกรรมการธนาคารต้นไม้บ้านอมกงพัฒนา

  1. ประธานกลุ่มเกษตรกรบ้านอมกงพัฒนา
  2. ประธานกลุ่มน้ำหมักชีวภาพบ้านอมกงพัฒนา
  3. ประธานกลุ่มโครงการพัฒนาข้าวพันธุ์ดีบ้านอมกงพัฒนา
  4. ประธานอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนบ้านอมกงพัฒนา
  5. ประธานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านอมกงพัฒนา
  6. ประธานกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านอมกงพัฒนา
  7. ประธานกลุ่มผลิตน้ำดื่มบ้านอมกงพัฒนา
  8. ประธานกองทุนหมูบ้านบ้านอมกงพัฒนา
  9. ประธานกองทุนแม่ของแผ่นดินบ้านอมกงพัฒนา
  10. ประธานคณะกรรมการหมู่บ้านอมกงพัฒนา
  11. ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านอมกง
  12. รองประธานกลุ่มฌาปนกิจสงเคราะห์บ้านอมกงหมู่ที่ 7 และหมู่ที่ 20 ตำบลท่าพล
  13. ประธานคณะกรรมการประปาบ้านอมกงพัฒนา
  14. คณะกรรมการกองทุนหลักประกันสุขภาพองค์การบริหารส่วนตำบลท่าพล
  15. นายกสมาคมฌาปนกิจลูกค้า ธ.ก.ส. สาขาท่าพล
    1. การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม

ได้อุทิศตนเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคมหลายด้าน ดังนี้

  • การเป็นศูนย์เรียนรู้ แปลงเรียนรู้
  • เป็นที่ทำการเครือข่ายศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรผสมผสาน (ไร่นาสวนผสม)ภายใต้การร่วมมือของกรมส่งเสริมการเกษตร หน่วยงานภาคีร่วมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งองค์การบริหารส่วนตำบลท่าพล ที่มุ่งเน้นการแบ่งปัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การวางแผนการผลิต รวมทั้งเป็นต้นแบบให้กับชุมชนในการทำการเกษตรแบบผสมผสานไร่นาสวนผสม การนำทรัพยากรในท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชนสามารถดำเนินตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง
  • เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านไร่นาสวนผสมของกรมส่งเสริมการเกษตร  เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานจากหน่วยงานต่าง อีกทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ
  • เป็นที่ตั้งของธนาคารต้นไม้บ้านอมกงพัฒนาของ ธกส. ด้านการรวบรวมส่งเสริมการปลูกป่า สำรวจและชี้แจงการเข้าร่วมโครงการให้กับสมาชิก
  • เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.)เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านการเกษตรแบบผสมผสาน
  • เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)เพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านการเกษตรตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
  • เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบสัมมาชีพของสำนักงานพัฒนาชุมชนเพื่อเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานการประกอบอาชีพตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
  • เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านเกษตรทฤษฎีใหม่ของโรงงานน้ำตาลมิตรผลเพื่อเป็นแหล่งฝึกอบรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ศึกษาดูงานด้านเกษตรทฤษฎีใหม่

 

ภาพที่ 10 แปลงเรียนรู้เกษตรผสมผสาน

  • การขยายผลสู่ชุมชน สังคม

     เป็นวิทยากร  เนื่องจากได้ลงมือปฏิบัติเอง เป็นแปลงเรียนรู้ และเป็นศูนย์เรียนรู้ของหลายๆหน่วยงาน ทำให้มีความรู้ความสามารถเป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร หรือประชาชนทั่วไปที่สนใจทั้งในและนอกชุมชน ทั้งจากโรงเรียน หน่วยงานราชการต่างๆ ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ที่มาศึกษาดูงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งจัดโดยหน่วยงานต่างๆ หรือบุคคลที่สนใจมาด้วยตนเองหรือโทรศัพท์มาปรึกษา โดยไม่มีการห่วงวิชา ความรู้ พร้อมยินดีถ่ายทอดประสบการณ์ต่างที่ได้ทำมาทั้งความสำเร็จและล้มเหลว เพื่อเป็นบทเรียนหรือวิทยาทานให้กับคนอื่น เพราะต้องการช่วยเหลือคนเพื่อให้ประกอบอาชีพด้านการเกษตรที่มั่นคง มีรายได้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างยั่งยืน เรื่องที่สามารถเป็นวิทยากรได้ เช่น เศรษฐกิจพอเพียง การทำการเกษตรแบบผสมผสานไร่นาสวนผสม การทำน้ำหมักชีวภาพ การปลูกไม้ 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง การบำรุงรักษาดิน การบริหารจัดการน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน และอื่นๆอีกมากมายทั้งปศุสัตว์ ประมง เป็นต้น

     การรับคณะศึกษาดูงาน โดยในแต่ละปีจะมีผู้มาปรึกษา มาศึกษาดูงานเป็นจำนวนมาก ทั้งในชุมชน ต่างชุมชน ในจังหวัด ต่างจังหวัด และจากภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งเป็นผลจากการยอมรับของสังคมว่าแนวทางที่ปฏิบัติมานั้นเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางที่ถูกต้อง

     เครือข่าย คือผู้ที่ได้มาศึกษาดูงาน ขอคำปรึกษา และได้นำไปปฏิบัติตามในพื้นที่ของตนเองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งประสบผลสำเร็จและมีความยั่งยืนในอาชีพ บางรายสามารถเป็นแหล่งถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้อื่นได้ ได้แก่

  1. นายสนั่น ลบเมือง หมู่ 20 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมไร่นาสวนผสม
  2. นายเฉลี่ยง ลบเมือง หมู่ 20 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมไม้ผลปลูกชมพู่
  3. นายธีระ พูลส้ม หมู่ 20 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมไม้ผลปลูกชมพู่
  4. นายสมศักดิ์ ลอยเทศ หมู่ 20 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมเกษตรผสมผสาน

นางรัชดา แก้วใหญ่ หมู่ 21 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมปลูกอินทผาลัม พืชผัก ขุดบ่อเลี้ยงปลา

  • นายธีรพัฒน์ เหมือนพรม หมู่ 21 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมขุดบ่อเลี้ยงปลา
  • นายประเสริฐ กันนิล หมู่ 20 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมไร่นาสวนผสม
  • นายเสถียร กิ่งบุบผา หมู่ 19 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมเลี้ยงกบในกระชัง
  • นายประสิทธิ์ สังข์เมือง หมู่ 3 ตำบลท่าพล ดำเนินกิจกรรมเลี้ยงกบ เลี้ยงปลาในกระชังบก

ภาพที่ 11 สรุปภาพกิจกรรม การขยายผลสู่สังคม และชุมชน

 

                         เป็นวิทยากรถ่ายทอดความรู้                              รับคณะศึกษาดูงาน

ได้รับรางวัลและประกาศเกียตริคุณหลากหลายอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ถึงความสำเร็จและการยอมรับ

การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

  • ที่ตั้งแปลง

    พื้นที่ทำการเกษตรไร่นาสวนผสมที่ทำอยู่นี้ ไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวน หรือเขตหวงห้ามของทางราชการ เป็นพื้นถูกต้องตามกฎหมาย โฉนดที่ดินเลขที่ 47112 เนื้อที่ 25 ไร่ 62 ตารางวา เป็นมรดกของภรรยา

  • การผลิตที่เกื้อกูลต่อสิ่งแวดล้อม

               การทำการเกษตรไร่นาสวนผสม แต่ละขั้นตอนในการผลิตพืช ปศุสัตว์ ประมง จะให้ความสำคัญในการรักษาธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ระบบนิเวศน์ทางการเกษตรดีขึ้นดังนี้

           การปรับปรุงบำรุงดิน

  • การไถกลบตอซังข้าวแทนการเผาทำลาย เพื่อลดภาวะโลกร้อนและเป็นการรักษาจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์บริเวณหน้าดิน นอกจากนี้ยังปลูกปอเทืองเป็นปุ๋ยพืชสดในการไถกลบเพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุและปรับโครงสร้างให้แก่ดิน
  • การใช้น้ำหมักชีวภาพชนิดต่างๆในการทำการเกษตรแบบไร่นาสวนผสมแทนการใช้ปุ๋ย สารเคมี จะช่วยสร้างความสมบูรณ์ของดินในธรรมชาติ ลดมลภาวะ และสารพิษตกค้างในดิน

           การป้องกันรักษาดิน น้ำ และสิ่งแวดล้อม

  • การปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่ โดยหลักการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ซึ่งเป็นแนวคิดการผสมผสานการอนุรักษ์ ดิน น้ำ และการฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้ ควบคู่กับความต้องการด้านเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศในสวน ช่วยปกป้องผิวดินให้ชุ่มชื้น ดูดซับน้ำฝน และค่อยๆปลดปล่อยความชื้นสู่สวนเกษตรกรรมก่อให้เกิดความสมดุลของธรรมชาติ และลดภาวะโลกร้อน
  • รักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ โดยการคลุมดินโคนต้นไม้ผลเพื่อรักษาความชุ่มชื่นของดินและน้ำ อีกทั้งคุมวัชพืช ด้วยการนำเอาฟางข้าว หรือเศษหญ้า ใบไม้ที่ร่วงหล่นและจากการตัดแต่งกิ่งมาปกคลุ่ม และไม่ทำการเผาเศษหญ้า ใบไม้ กิ่งไม้ที่ร่วงหล่น ที่จะมีผลทำให้โครงสร้างของดินเสียไป
  • การทำธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด และการขุดบ่อกักเก็บน้ำระบบเปิด ที่ช่วยรักษาความสมดุลของธรรมชาติ ที่มีการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนที่มีน้ำมากกักเก็บน้ำไว้ใช้ และในช่วงฤดูแล้งสามารถนำน้ำมาใช้ทางการเกษตรช่วยลดปัญหาการขาดแคลนน้ำได้ตลอดทั้งปี สร้างความสมดุลให้กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สร้างให้เกิดระบบนิเวศน์อย่างสมบูรณ์
  • การจัดการกับสิ่งเหลือใช้จากเศษพืชผัก ผลไม้ต่างๆภายสวนไร่นาสวนผสม ที่สามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยน้ำหมักต่างๆ เป็นอาหารเลี้ยงปศุสัตว์ ประมง ได้อย่างสมดุล เกื้อกูลกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว

ภาพที่ 12 สรุปผลกิจกรรมการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

      ปอเทืองปรับปรุงดิน       คลุมเศษฟางรักษาดินและน้ำ       ธนาคารน้ำใต้ดิน         การจัดการสิ่งของเหลือ